เมนู

หลากไปด้วยเนาวรัตนนานาพรรณ อันบุญกรรมจัด
สรรมาให้จากธาตุนานาชนิด ดูมูลมองพิจิตรจรัส
จำรูญ ยามท่านยืนอยู่เหนือสุพรรณรถขับไปถึง
ประเทศใด ที่ตรงนั้นก็สว่างไสวไปทั่วถึงกัน ดูก่อน
นางเทพธิดา อาตมาถามท่านแล้ว ท่านจงตอบอาตมา
ว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร.

นางมัลลิกาเทพธิดาตอบว่า
พระคุณเจ้าขา ดีฉันมีร่างกายซึ่งปกปิดไว้ด้วย
ร่างแหทองคำวิจิตรไปด้วยแก้วแดงอ่อน ๆ และแก้ว
มุกดา นับว่าดีฉันคลุมร่างไว้ด้วยตาข่ายทองเช่นนี้
ก็เพราะดีฉันมีจิตผ่องใส ได้บูชาพระโคดมบรมครู
ผู้ทรงพระคุณหาประมาณมิได้ ซึ่งเสด็จเข้าสู่นิพพาน
ไปแล้ว ครั้นดีฉันทำกุศลกรรมที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
สรรเสริญแล้ว จึงสร่างโศก หมดโรคภัย ได้รับ
แต่ความสุขกาย สุขใจ รื่นเริงบันเทิงใจเป็นนิตย์.

จบมัลลิกาวิมาน

อรรถกถามัลลิกาวิมาน


มัลลิกาวิมาน มีคาถาว่า ปีตวตฺเถ ปีตธเช ดังนี้เป็นต้น.
มัลลิกาวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธกิจ เริ่มต้นทรงแสดงพระ-

ธัมมจักกปปวัตตนสูตร จนถึงทรงโปรดสุภัททปริพาชกแล้ว ปรินิพพาน
ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในเวลาใกล้รุ่ง ณ วันเพ็ญ เดือน 6 ในระหว่าง
ต้นสาละทั้งคู่ ณ สาลวันแห่งมัลลราช ใกล้กรุงกุสินารา พวกเทวดาและ
มนุษย์ต่างพากันทำการบูชาพระสรีระของพระองค์ ในครั้งนั้น ราชบุตรี
ของกษัตริย์มัลละเป็นภรรยาของพันธุลมัลละ ในกรุงกุสินารา ชื่อ
มัลลิกา เป็นอุบาสิกามีศรัทธาเลื่อมใส เอาน้ำหอมล้างเครื่องประดับ
มหาลดาของตน เช่นเดียวกับของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ขัดด้วยผ้าเนื้อดี
และถือเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้น เป็นอันมากอย่างอื่นบูชาพระสรีระ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า. นี้เป็นความย่อในเรื่องนี้. ส่วนเรื่องนางมัลลิกา
โดยพิสดารมาแล้วในอรรถกถาธรรมบท.
ครั้นต่อมา นางมัลลิกานั้น สิ้นชีพิตักษัยไปบังเกิดในสวรรค์
ชั้นดาวดึงส์. ด้วยอานุภาพแห่งการบูชานั้น นางมัลลิกาได้มีทิพย-
สมบัติอันโอฬาร ไม่สาธารณ์ด้วยผู้อื่น. วิมานประดับด้วยผ้า รุ่งเรืองด้วย
แก้ว 7 ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีรัศมีสีทอง ผ่องใสยิ่งนัก ปรากฏ
เหมือนสายน้ำสีทอง แดงเรื่อโปรยลงมาจากทุกทิศ.
ครั้งนั้น ท่านพระนารทะ จาริกไปยังเทวโลกเห็นเทพธิดาจึงเข้าไป
หา. เทพธิดาครั้นเห็นท่านพระนารทะ จึงยืนประคองอัญชลีนมัสการ.
ท่านพระนารทะจึงถามเทพธิดานั้นว่า
ดูก่อนเทพธิดา ผู้มีผ้านุ่งห่มและธงล้วนแต่
สีเหลือง เครื่องประดับก็ล้วนแต่สีเหลือง ท่านถึง
ไม่ประดับด้วยเครื่องประดับอันงดงาม ก็ยังงาม

ดูก่อนเทพธิดา ผู้มีเครื่องประดับล้วนแต่ทองคำ แก้ว-
ไพฑูรย์ จินดา มีกายปกคลุมด้วยร่างแหทองคำ
เหลืองอร่าม เป็นระเบียบงดงามด้วยสายแก้วต่าง ๆ
สายแก้วเหล่านั้น ล้วนสำเร็จด้วยทองคำ แก้วทับทิม
แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ แก้วลายคล้ายตาแมว
แก้วแดงคลายสีเลือด บางอย่างก็สดใสเหมือนสีตา
นกพิราบ เครื่องประดับทั้งหมดที่ตัวของท่านนี้
ทุก ๆ สาย ยามต้องลมพัดมีเสียงไพเราะเหมือน
เสียงนกยูง เสียงพญาหงส์ทอง เสียงนกการเวก
มิฉะนั้นก็เสียงเบญจางคดุริยดนตรี ที่พวกคนธรรพ์
พากันบรรเลงเป็นคู่ ๆ อย่างไพเราะน่าฟัง อนึ่ง รถ
ของท่านก็งดงามมาก หลากไปด้วยรัตนะสีต่าง ๆ
อันบุญกรรมจัดสรรมาให้จากธาตุนานาชนิด ดูงดงาม
ยามท่านยืนอยู่บนรถ ขับไปถึงที่ใด ที่นั้นก็สว่างไสว
ไปทั่ว.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปีตวตฺเถ ได้แก่ มีผ้านุ่งห่มสีเหลือง เพราะ
มีแสงเหมือนทองคำอันบริสุทธิ์. บทว่า ปีตธเช ได้แก่ มีธงสีเหลือง
เพราะเป็นธงวิเศษสำเร็จด้วยทองซึ่งยกขึ้น ณ ประตูวิมานและบนรถ.
บทว่า ปีตาลงฺการภูสิเต ได้แก่ ประดับด้วยเครื่องอาภรณ์สีเหลือง
ก็เครื่องอาภรณ์ของเทพธิดานั้นมีรัศมีสีเหลืองเป็นพิเศษ เพราะรุ่งเรือง
ด้วยข่ายมีรัศมีสีทองบริสุทธิ์ โดยเหตุที่เครื่องประดับเหล่านั้นเกิดขึ้น

เพราะความประพฤติดีเช่นนั้นเป็นพิเศษ ในความวิจิตรด้วยรัตนะหลาย
อย่างล้วนรุ่งเรืองด้วยข่ายรัศมีนานาชนิด. บทว่า ปีตนฺตราหิ ได้แก่ ผ้า
ห่มสีเหลือง อันตรศัพท์ใช้ในผ้านุ่งห่มในบทมีอาทิว่า สนฺตรุตฺตรปรมํ
เตน ภิกฺขุนา ตโต จีวรํ สาทิตพฺพํ
ภิกษุนั้นพึงยินดีผ้านุ่งห่มเป็น
อย่างยิ่ง. แต่ในที่นี้พึงเห็นว่าใช้ใน อุตตริยะ ดุจในบทมีอาทิว่า อนฺตร-
สาฏกา
ผ้านุ่ง. ศัพท์เหล่านี้คือ อนฺตรา (ผ้านุ่ง) อุตฺตริยํ อุตฺตรา-
สงฺโค อุปสมพฺยานํ
(ผ้าห่ม) เป็นปริยายศัพท์ (ศัพท์สำหรับพูด).
บทว่า วคฺคูหิ ได้แก่ ด้วยเครื่องประดับอันงดงาม. บทว่า อปิลนฺธา ว
โสภสิ
ความว่า ท่านแม้ถึงจะไม่ประดับด้วยเครื่องประดับเหล่านี้ ก็งดงาม
ด้วยรูปสมบัติของตนอยู่แล้ว แต่พอเครื่องประดับเหล่านั้นสวมสรีระของ
ท่านก็งดงาม. อธิบายว่า เพราะฉะนั้น แม้ถึงท่านไม่ประดับก็คล้ายกับ
ประดับ.
บทว่า กา กมฺพุกายุรธเร ได้แก่ ดูก่อนเทพธิดา ผู้ประดับ
ด้วยเครื่องประดับแล้วไปด้วยทองคำ หรือประดับด้วยกำไรแขน แล้วไป
ด้วยทองคำ ท่านเป็นใครเกี่ยวข้องกับหมู่เทพชั้นไหน. ท่านกล่าวบทว่า
กมฺพุปริหารกํ ได้แก่ เครื่องประดับข้อมือ. กล่าวบทว่า กายรํ ได้แก่
เครื่องประดับแขน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กมฺพุ ได้แก่ ทองคำ.
เพราะฉะนั้น จึงมีความว่า ผู้ประดับด้วยเครื่องอาภรณ์ที่แขนแล้วด้วย
ทองคำ ชื่อว่า กมฺพุกายูรธเร. บทว่า กญฺจนาเวฬภูสิเต ได้แก่
ประดับพวงมาลัยแล้วด้วยทองคำ. บทว่า เหมชาลกสญฺฉนฺเน ได้แก่
มีสรีระคลุมด้วยข่ายทองคำแกมแก้ว. บทว่า นานารตนมาลินี ได้แก่

พระนารทะถามว่า ท่านเป็นใครมีพวงมาลัยแก้วต่าง ๆ ล้วนเป็นสาย
แก้วสวมศีรษะในคืนข้างแรม ดุจสวมมาลัยประดับมุกด์ในนักขัตฤกษ์
( การเต้นรำ ).
บทว่า โสวณฺณมยา ความว่า ท่านกล่าวว่า เทพธิดานั้นมีพวง
มาลัยแก้วต่าง ๆ ล้วนเป็นพวกแก้วประดับ. ความเห็นเกี่ยวกับพวงมาลัย
แก้วเหล่านั้นมีดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า โสวณฺณมยา ได้แก่
มาลัยสำเร็จด้วยทองคำ. บทว่า โลหิตงฺกมยา ได้แก่ มาลัยสำเร็จด้วย
แก้วมณีสีแดงคล้ายแก้วสีทับทิมเป็นต้น. บทว่า มสารคลฺลา ได้แก่
มาลัยสำเร็จด้วยแก้วลายคล้ายตาแมว. บทว่า สหโลหิตงฺกา ความว่า
มาลัยสำเร็จด้วยแก้วมณีคล้ายเพชรตาแมว กับมาลัยแล้วด้วยแก้วมณีสีแดง
และมาลัยสำเร็จด้วยแก้วแดงคล้ายสีเลือด. บทว่า ปเรวตกฺขีหิ มณีหิ
จิตฺตตา
อธิบายว่า มาลัยแก้วที่ศีรษะและมือของท่านเหล่านี้ มีสภาพ
สวยงามทำด้วยแก้วมณี เช่นกับสีตานกพิราบ และแก้วมณีตามที่กล่าวแล้ว.
บทว่า โกจิ โกจิ ได้แก่ เครื่องประดับทุก ๆ สาย. บทว่า เอตฺถ
คือ ในพวงมาลัยเหล่านี้. บทว่า มยูรสุสฺสโร ได้แก่ มีเสียงไพเราะเหมือน
เสียงนกยูง. บทว่า หํสสฺสรญฺโญ ได้แก่ มีเสียงไพเราะเหมือนเสียงพญา-
หงส์ คือ มีเสียงคล้ายกับเสียงพญาหงส์. บทว่า กรวิกสุสฺสโร ได้แก่ มี
เสียงไพเราะดุจเสียงนกการเวก คือเสียงพวงมาลัยเหล่านั้น มีเสียงเหมือน
เสียงนกยูง เสียงพญาหงส์ เสียงนกการเวก ได้ยินแต่เสียงไพเราะ
อ่อนหวานอย่างนี้. ถามว่า เหมือนอะไร ตอบว่า เหมือนเบญจางคิก-
ดุริยดนตรี ประโคม. อธิบายว่า เสียงของเครื่องประดับเหล่านั้นฟัง
ไพเราะ เหมือนคนฉลาดประโคมเบญจางคิกดุริยดนตรีฉะนั้น บทว่า

ปญฺจงฺคิกํ ตุริยมิวปฺปวาทิตํ นี้ เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งสัตตมี-
วิภัตติ.
บทว่า นานาวณฺณาหิ ธาตูหิ ได้แก่ จากธาตุอันมีส่วนต่าง ๆ
เป็นต้นว่า เพลา ล้อ และงอนไถเป็นต้น. บทว่า สุวิภตฺโต ว โสภติ
ได้แก่ งามดุจจัดสรรมาอย่างดี เพราะส่วนต่าง ๆ มีขนาดเหมาะเจาะกัน
และกัน ทั้งมีฝาพร้อม. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สุวิภตฺโต ว ได้แก่ แม้
เกิดด้วยกรรมอย่างเดียวก็ยังงาม ดุจอาจารย์ศิลปะผู้เชี่ยวชาญบรรจงตกแต่ง
ไว้ฉะนั้น.
บทว่า กญฺจนพิมฺพวณฺเณ ได้แก่ บนรถนั้นเช่นกับรูปทอง เพราะ
มีแสงเหลืองอร่ามงามยิ่งนัก. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กญฺจนพิมฺพวณฺเณ
เป็นคำเรียกเทพธิดานั้น. อธิบายว่า เช่นกับรูปเปรียบทองคำที่เขาเอา
น้ำหอมล้างแล้วขัดด้วยสีแดงชาด แล้วเอาผ้าเนื้อดีขัดอีก. บทว่า ภาสสิมํ
ปเทสํ
ได้แก่ ภูมิประเทศทั้งสิ้นนี้ย่อมสว่างไสวรุ่งโรจน์.
ครั้นพระเถระถามอย่างนี้แล้ว เทพธิดาก็ตอบด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ดีฉันมีร่างกายปกคลุมไว้ด้วยข่ายทองคำ วิจิตร
ไปด้วยแก้วมณีทองคำและแก้วมุกดา เพราะดีฉันมี
จิตผ่องใส ได้บูชาพระโคดมผู้ทรงคุณหาประมาณ
มิได้ ซึ่งเสด็จปรินิพพานไปแล้ว.

ดีฉันทำกุศลกรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ
ไว้ จึงสร่างโศกถึงความสุขรื่นเริงบันเทิงใจอยู่เป็น
นิตย์.

ในบทเหล่านั้น บทว่า โสวณฺณชาลํ ได้แก่ ข่ายสำเร็จด้วยทองคำ
ทำให้พอดีกับสรีระ. บทว่า มณิโสณฺณจิตฺติตํ ได้แก่ วิจิตรด้วยแก้วมณี
และทองคำหลายอย่าง โดยเป็นเครื่องประดับมีสวมศีรษะและสวมคอเป็น
ต้น. บทว่า มุตฺตาจิตํ ได้แก่สวมสายแก้วมุกดาที่เกี่ยวพันกันเป็นลำดับ ๆ.
บทว่า เหมชาเลน ฉนฺนํ ได้แก่ คลุมด้วยข่ายรัศมีสีทอง. ก็ข่ายนั้น
วิจิตรด้วยแก้วนานาชนิด และด้วยทองคำ ตกแต่งด้วยสายแก้วมุกดาคลุม
ด้วยข่ายรัศมีสีทอง ส่องแสงยิ่งนักในเมื่อสัมผัสกับแสงอาทิตย์ มีแสงสว่าง
เป็นอันเดียว ตั้งอยู่ดุจกระจกทองคำ. บทว่า ปรินิพฺพุเต ได้แก่ ปริ-
นิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. บทว่า โคตเม อ้างถึงพระผู้
มีพระภาคเจ้าโดยพระโคตร. บทว่า อปฺปเมยฺเย ได้แก่ ไม่สามารถจะ
ประมาณได้โดยคุณานุภาพ. บทว่า ปสนฺนจิตฺตา ได้แก่ มีจิตเลื่อมใส
ด้วยศรัทธาอันเป็นวิสัยแห่งผลกรรมและพุทธารมณ์. บทว่า อภิโรปยึ
ได้แก่ ดิฉันสวมใส่ไว้ที่สรีระเพื่อบูชา.
บทว่า ตาหํ ตัดบทเป็น ตํ อหํ. บทว่า กุสลํ ชื่อว่า กุศล
เพราะอรรถว่า ขจัดความน่าเกลียดออกไปเป็นต้น. บทว่า พุทฺธวณฺณิตํ
ได้แก่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญแล้วด้วยบทมีอาทิว่า ยาวตา
ภิกฺขเว สตฺตา อปทา วา ทฺวิปทา วา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้ง-
หลายไม่มีเท้าก็ดี มีสองเท้าก็ดี ประมาณเท่าใด ดังนี้. บทว่า อเปตโสกา
ความว่า ชื่อว่าปราศจากความโศก เพราะไม่มีความพินาศแห่งโภคะเป็น
ต้น อันเป็นเหตุของความโศก. ด้วยบทนั้น เทพธิดากล่าวถึง ความ
ไม่มีทุกข์ใจ. บทว่า สุขิตา ได้แก่ มีสุข เกิดแล้ว คือ ถึงความสุข.
ด้วยบทนี้ เทพธิดากล่าวถึงความไม่มีทุกข์กาย. ก็เทพธิดานั้นถึงความ

บันเทิง เพราะไม่มีทุกข์ใจ. ความไม่มีโรค เพราะไม่มีทุกข์กาย. ด้วย
เหตุนั้น เทพธิดาจึงกล่าวว่า สมฺปโมทามนามยา ดิฉันบันเทิงเพราะ
ไม่มีโรค. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
อนึ่ง เนื้อความนี้ ท่านพระนารทะได้แจ้งแก่พระธรรมสังคาห-
กาจารย์ ครั้งทำสังคายนาโดยทำนองเดียวกันกับที่คนและเทพธิดากล่าว
แล้วในครั้งนั้น. พระธรรมสังคาหกาจารย์เหล่านั้นจึงยกคำบอกเล่านั้นขึ้น
สู่การสังคายนา ด้วยประการนั้นเอง.
จบอรรถกถามัลลิกาวิมาน

9. วิสาลักขิวิมาน


ว่าด้วยวิสาลักขิวิมาน


สมเด็จอมรินทราธิราชตรัสถามนางสุนันทาเทพธิดาว่า

[37] ดูก่อนแม่เทพธิดาผู้มีในตางาม เธอชื่อไร ได้
ทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มีหมู่นางฟ้าแวดล้อมเป็นบริวาร
เดินวนเวียนอยู่รอบ ๆ ในสวนจิตรลดาอันน่ารื่นรมย์
ในคราวที่พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ล้วนแต่ขึ้นม้า ขึ้นรถ
ตกแต่งร่างกายวิจิตรงดงาม เข้าไปยังสวนนั้นแล้ว จึง
มาในที่นี้ แต่เมื่อพอเธอมาถึงในที่นี้ กำลังเที่ยวชม
สวน รัศมีก็สว่างไสวไปทั่วจิตรลดาวัน โอภาสของ
สวนมิได้ปรากฏ รัศมีของเธอมาข่มเสีย ดูก่อนแม่